
เมื่อวันที่ 26-28 ตุลาคม เวทีสมัชชาป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ครั้งที่ 5 ณ เทศบาลตำบลท่าผา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่สมาคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคเหนือ ร่วมกับ เครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดเชียงใหม่ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม เครือข่ายป่าชุมชนอำเภอแม่แจ่ม และหน่วยงานภาคีต่างๆ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม “สมัชชาเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ครั้งที่ 5 สานพลังเครือข่ายให้งอกงาม”
โดยในเวทีดังกล่าวมีผู้นำชุมชนจากเครือข่ายป่าชุมชนจากหลายพื้นที่อาทิ อ.แม่แจ่ม แม่วาง อมก๋อย จอมทองทอง เชียงดาว เวียงแหง สะเมิง และแม่ออน อปท.ภาคประชาสังคม และหน่วยงานป่าไม้ทั้งในพื้นที่และระดับจังหวัดมาร่วมแลกเปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อทำความเข้าใจในสาระของกฎหมายป่าชุมชน และนโยบายที่ดินที่เกี่ยวข้อง และยังได้แลกเปลี่ยนประเด็นสำคัญหลายประเด็นเช่น บทเรียนของการจัดการป่าชุมชนกับปัญหาไฟป่า บทเรียนการพัฒนาอาชีพ เศรษฐกิจสีเขียว ระบบเกษตรมูลค่าสูง ระบบและศูนย์ข้อมูลเพื่อการขับเคลื่อนการจัดการดิน น้ำ ป่า คุณภาพชีวิต และกลุ่มชาติพันธุ์ และบทเรียนการจัดสิทธิที่ทำกินแบบ คทช. และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
บ ทเรียนที่เกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชนกับการจัดการไฟป่า ชุมชนได้สะท้อนบทเรียนที่น่าสนใจในเวทีดังกล่าวว่าเนื่องจากปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง และบางครั้งข้ามเขตแดนจากพื้นที่ไฟที่ไม่มีเจ้าของยังเขตแดนที่ชุมชนดูแลรักษาอยู่ ทำให้ชุมชนต้องทำงานหนักเพิ่มมากขึ้น โดยการขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนตามกฎหมายป่าชุมชนนั้นยังมีข้อจำกัดเพราะไม่ครอบคลุมพื้นที่ป่าที่ชุมชนดูแลทั้งหมดได้

ณรงค์เดช บุญมาอูป กำนันตำบลแม่ทา อ.แม่ออน เชียงใหม่ตำบลแม่ทากล่าวว่าบ้านตนเองคือบ้านค้อกลางบ้านเราดูแลเกือบ 30,000 ไร่ แต่เราขอขึ้นทะเบียนได้แค่ 4,900 ไร่ ถ้าเราไม่ขึ้นทะเบียนเราก็เสียประโยชน์ ดังนั้นทางชุมชนจึงมีความพยายามทีจะขยายการขึ้นทะเบียนดังกล่าวโดยเร็วเพื่อแก้ปัญหารการจัดการดูแลป่า ทำให้ชุมชนมีความมั่นใจและไม่กังวลเวลาที่ต้องไปบริหารจัดการดูแลป่า
“ช่วงฤดูไฟเราต้องไปทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟ เดินทางไปจนถึงเขตติดต่อ จ.ลำปาง เราก็ต้องไปและนอนค้างคืน เพราะป่าบ้านเราอยู่ในไข่แดง ถ้าไฟไหมพื้นที่รอบ ๆ ก็เข้าบ้านเราอยู่ดี” กำนันณรงค์เดชสะท้อนปัญหา
วิชัย กิจมี ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่าในแต่ละปี กรมป่าไม้มีงบประมาณให้ สำนักทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 เพียงแค่ 25 หมู่บ้าน (ป่า) ปีที่ผ่านมามีชุมชนเสนอเข้ามาเพื่อดำเนินการจัดการป่าชุมชนเยอะมากเฉพาะที่อ.แม่แจ่มก็ร่วม 40 ชุมชนแล้ว ซึ่งการดำเนินการมีหลายขั้นตอนใช้เวลาประมาณ 6 เดือน รวมส่งไปยังสำนักทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 กรมป่าไม้จะมารังวัดขอบเขตพื้นที่อยู่ในเขตป่าอะไร ป่าอนุรักษ์ไม่สามารถอนุมัติให้ได้ หรืออยู่ในพื้นที่ของการใช้ประโยชน์รัฐก็ต้องกันออก จะอนุมัติเฉพาะในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484
“เราทำไม่ทันต่อความต้องการที่ชาวบ้านต้องการจัดการป่าชุมชน” ผมมีข้อเสนอว่าความจริงแล้วชาวบ้านดูแลกันดูแลอยู่แล้ว อาจจะต้องดำเนินการกันไปก่อนและยื่นเรื่องรอไว้ ทางหน่วยงานรัฐเองก็ต้องแก้ไขกฎระเบียบที่ทำให้ขั้นตอนการดำเนินงานเร็วขึ้น

นอกเหนือจากเรื่องสิทธิในการจัดการป่าชุมชนแล้ว ในเวทีดังกล่าวยังได้พูดถึงปัญหาสำคัญของประชาชนในเขตป่าคือเรื่องความมั่นคงในเรื่องที่ดินทำกิน และที่อยู่อาศัยที่มีการต่อสู้มายาวนาน จนปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบาย คทช. (คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ที่รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการนี้ขึ้นมาเพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศให้มีความเหมาะสม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อาศัยและทำกินในเขตป่าก่อนมีการประกาศเขตป่าไม้ถาวรหรือพื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์มาก่อนแต่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทั้งนี้ ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่มถือเป็นพื้นที่นำร่องที่ชุมชนเข้าร่วมโครงการดังกล่าว โดยจะได้รับอนุญาตให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย เกิดความมั่นคงในที่ดินได้ระดับหนึ่งเพราะไม่ต้องกลัวว่าจะถูกไล่รื้อ แต่ยังประสบปัญหาคือประชาชนที่ได้รับการจัดการที่ดินยังไม่ได้รับเอกสารสิทธิ์ (โฉนด) แต่จะได้ในรูปแบบ “หนังสืออนุญาตให้ใช้พื้นที่”

ชุมชนได้สะท้อนว่าแม้จะได้ประโยชน์ในแง่ของการขยายเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่นเรื่องของน้ำทำการเกษตร และในเรื่องของการพัฒนาเรื่องการส่งเสริมอาชีพและรายได้ประชาชนสามารถปลูกพืชเศรษฐกิจ และทำการท่องเที่ยวชุมชนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีปัญหาอุปสรรคคือ 1.รูปแบบสมุดประจำตัวยังขาดรายละเอียดสำคัญ เช่นภาพถ่ายทางอากาศแสดงแปลงพิกัด แปลงที่ดินรอบข้าง และการแบ่งแปลงจำแนกตามกลุ่มทำให้ที่ดินถูกแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ ชาวบ้าน 1 ครอบครัวจะมีสมุดจดทะเบียนหลายเล่ม 2.กรณีพื้นที่ตกหล่นจากการสำรวจ และพื้นที่ทำกินที่มีลักษณะเป็นสวนเมี่ยง ไร่ชา ไร่หมุนเวียน วนเกษตรยังไม่มรแนวทางกลั่นกรองและแยกแยะปัญหาและการจัดทำกรอบแนวทางการรับรองขอบเขต รูปแบบการจัดการร่วม 3.ขั้นตอนและระเบียบการอนุญาตตัดไม้ในพื้นที่ คทช.ยังไม่สอดคล้องกับรายย่อย ไม่สามารถแรงจูงใจในการทำการทำวนเกษตรและป่าเศรษฐกิจได้เท่าที่ควร 4.การตรวจสอบข้อมูลพื้นที่ที่ระบุว่ามีการทำกินหลังปี 2557 ขาดการออกแบบเครื่องมือและกลไกการตรวจสอบข้อมูลและแต่งตั้งคณะทำงานที่เป็นรูปธรรม รวมถึงการจัดตั้งศูนย์สารสนเทศทางภูมิศาสตร์ระดับอำเภอ และตำบลเพื่อจัดการข้อมูลร่วมกัน เป็นต้น
ในเวทีดังกล่าวสมัชชาเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งประกอบด้วยชุมชนจาก 8 อำเภอ ได้ยื่นหนังสือต่อประธานกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน เรียกร้องให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ 5 เรื่อง ได้แก่ การออกกฎกระทรวงกำหนดเขตป่าอนุรักษ์ตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน การแก้ไข พ.ร.บ.สวนป่าให้รับรองสิทธิที่ดินทำกินชุมชน การปรับปรุงมติ ค.ร.ม. เกี่ยวกับที่ดิน คทช. การแก้ไขกฎหมายป่าอนุรักษ์ และแนวทางสำรวจสิทธิที่ดินในพื้นที่ป่า โดยระบุว่าชุมชนดูแลป่ามายาวนานด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นและได้ขึ้นทะเบียนป่าชุมชนตามกฎหมายแล้ว แต่ยังพบว่ากฎหมายและนโยบายปัจจุบันไม่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่และขัดขวางความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชนในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ เครือข่ายป่าชุมชนขอให้ทบทวนและเร่งรัดการออกกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562 โดยคัดค้านร่างกฎกระทรวงของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เพิ่มเติมเขตป่าอนุรักษ์อีก 4 ประเภท รวมถึงพื้นที่เตรียมการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งจะทำให้ชุมชนที่ดูแลรักษาป่ามายาวนานไม่สามารถเข้าถึงสิทธิจัดตั้งป่าชุมชนได้
และเสนอให้ปรับปรุงมต ิคณะรัฐมนตรี 26 พฤศจิกายน 2561 เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (คทช.) โดยเรียกร้อง 8 ประเด็นหลัก ได้แก่ ปรับปรุงสมุดประจำตัว คทช. ให้มีแผนที่แปลงที่ดินและพิกัดชัดเจน แก้ไขปัญหากรณีพื้นที่ตกหล่นและพื้นที่วนเกษตรที่มีสภาพป่าปกคลุม กำหนดมาตรการรับรองไร่หมุนเวียนและวนเกษตรภายใน 30-60 วัน ลดขั้นตอนการขออนุญาตตัดต้นไม้ที่ปลูกเอง ตรวจสอบพื้นที่บุกรุกหลังปี 2557 ร่วมกับชุมชนและท้องถิ่น ขยายระยะเวลาโครงการจาก 30 ปีเป็นไม่มีกำหนดเพื่อสร้างความมั่นใจให้เกษตรกร และจัดตั้งศูนย์สารสนเทศภูมิศาสตร์ระดับอำเภอ-ตำบลเพื่อบริหารจัดการข้อมูลที่ดิน คทช. อย่างมีประสิทธิภาพ
.png)