top of page

People's Policy Hub ประชาชนร่วมออกแบบนโยบายฝุ่นควันที่อยากเห็น

Tag :

#อดบ่ไหวแก้ไขสักทีเต๊อะ
#คนเหนือชวนคิดนโยบายแก้ฝุ่นพิษPM25
#กรีนพีซ
#สภาลมหายใจเชียงใหม่
#นโยบายฝุ่นควัน
#มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
#ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น


30 เมษายน 2568 กรีนพีซ ร่วมกับสภาลมหายใจเชียงใหม่ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLaw) มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น และเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมจัดกิจกรรม “People's Policy Hub พื้นที่ออกแบบนโยบายโดยประชาชน” ณ TCDC จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรวบรวมนโยบายจากคนในท้องถิ่นและร่วมออกแบบนโยบายการจัดการปัญหาฝุ่นควันที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ภาคเหนือ ภายใต้แนวคิดที่อยากรวบรวมนโยบายจากคนในท้องถิ่นเอง ร่วมออกแบบนโยบายที่มาจากเราโดยแท้จริง


กิจกรรมนี้มีตัวแทนจากหลากหลายองค์กรเข้าร่วม ทั้งตัวแทนจากสภาลมหายใจเชียงใหม่ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น กลุ่มสม-ดุลเชียงใหม่ กลุ่มเยาวชนพลเมืองสันกำแพง คลินิกกฎหมายสิ่งแวดล้อม นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ EarthRights International ตลอดจนผู้แทนชุมชนอย่างตัวแทนจากบ้านห้วยหินลาดใน บ้านห้วยอีค่าง สะเมิง แม่ทา นักวิชาการ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ และเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา ประหยัด จตุพรพิทักษ์กุล


ภาคีเครือข่ายได้ประมวลสถานการณ์ฝุ่นพิษในประเด็นเรื่องปัญหาเชิงโครงสร้าง กฎหมายทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน การทำงานระดับท้องถิ่นภายใต้นโยบายรวมศูนย์ สถานการณ์ในสภาและการขับเคลื่อนพ.ร.บ. ตลอดจนปัญหาในห่วงโซ่การผลิตและระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหานโยบาย Zero Burning ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มชนพื้นเมืองชาติพันธุ์


จากการนำเสนอในงาน วัชราวลี คำบุญเรือง ตัวแทนจากมูลนิธินิติธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม (EnLaw) ได้สรุปข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ในภาคเหนือ ซึ่งเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ ประกอบด้วย สถานการณ์ความรุนแรงของปัญหา ความเข้มข้นของ PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือของไทยสูงเกินมาตรฐานตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝุ่นควัน และมีแนวโน้มมีความเกี่ยวข้องกับหมอกควันข้ามแดน ปัญหาเชิงโครงสร้าง มีการวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เชื่อมโยงกันหลายด้าน ทั้งภาวะโลกร้อน ไฟป่า หมอกควันข้ามแดน การรวมศูนย์อำนาจ สิทธิในที่ดิน อคติต่อชาติพันธุ์ และการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน รวมถึงการเป็นวิกฤตซ้ำซาก เนื่องจากปัญหาฝุ่นควันเป็นวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี ซึ่งข้อมูลระบุว่ามีความเข้มข้นสูงสุดในปี 2565 ผ่านมาตรฐานตลอดทั้งปี


นิราพร จะพอ จากชุมชนบ้านห้วยหินลาดใน ได้นำเสนอมุมมองเรื่องไร่หมุนเวียนว่าเป็นระบบการเกษตรที่สร้างความยั่งยืน โดยเธออธิบายว่า “การทำไร่หมุนเวียนเป็นการพึ่งพาธรรมชาติและพึ่งพาปัจจัยจากภายนอกน้อยลง สามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชนพื้นเมืองได้” ตามคำอธิบายของนิราพร ไร่หมุนเวียนมีพื้นที่ที่ชัดเจนและไม่มีการขยายพื้นที่เพิ่ม มีวัฒนธรรมการเอามื้อเอาแรง การพึ่งพาอาศัยกันในชุมชน “เราอยู่กับป่า พึ่งพาอาศัยป่า และป่าก็พึ่งพาอาศัยเรา เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักในการทำงาน” เธอกล่าว


ไร่หมุนเวียนแบบดั้งเดิมจะมีวงรอบ 7 ปี ซึ่งเป็นความรู้ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ช่วยให้สามารถฟื้นฟูหน้าดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในปัจจุบัน หลายชุมชนถูกบีบให้ลดวงรอบเหลือเพียง 5 ปี หรือ 3 ปี ส่งผลให้ต้องใช้สารเคมีมากขึ้นในการเพาะปลูก

ผลกระทบจากมาตรการห้ามเผา ที่มีต่อชุมชน ได้แก่ ผลผลิตไม่ดี อาหารไม่เพียงพอ ถูกบีบให้ต้องเป็นแรงงานนอกชุมชน ถูกเจ้าหน้าที่รังแก ถูกฟ้อง ถูกคุม มีสารเคมี เกิดการสูญเสียเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิม และผลกระทบต่อจิตใจ ภาวะซึมเศร้า เครียด ในขณะที่ผลกระทบจากการส่งเสริมพืชเชิงเดี่ยว คือรายได้ไม่แน่นอน อิงกับตลาด ขาดความมั่นคงทางอาหาร ปลูกพืชเพื่อขายต่างจากกิน ต้องใช้สารเคมี ทำลายสิ่งแวดล้อม ภาวะหนี้สินคืบคลุมชุมชนในเกษตรแปลงเดียวกัน และการถูกมอบอำนาจให้พ่อค้ากำหนด


นิราพรยังเล่าถึงผลกระทบจากนโยบายอนุรักษ์และการประกาศเขตป่า ซึ่งทำให้ชุมชนไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้ตามวิถีดั้งเดิม “บางครั้งเจ้าหน้าที่มองว่าไร่เหล่าของเราเป็นป่าที่เพิ่งเกิดใหม่ ทั้ง ๆ ที่เป็นไร่เหล่า 7 ปีตามระบบของเรา มีการเข้ามาทำลายข้าวของ ทำให้เราต้องเอาเวลาที่ควรทำไร่มาประท้วงแทน”


นโยบาย Zero Burn ยิ่งส่งผลกระทบรุนแรง เมื่อไม่สามารถเผาพื้นที่ได้ ชาวบ้านต้องใช้สารเคมีมากขึ้น เพิ่มรายจ่าย และไม่สามารถผลิตอาหารได้เพียงพอ "พอไม่มีข้าวกิน ก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก เจ้าหน้าที่ยึดที่ดิน หากเราเผาในพื้นที่ จะมีการตรวจยึด ทำลายข้าวของ คนที่เชื่อฟังก็ทำให้ผลผลิตได้ไม่ดี บางคนเกิดภาวะซึมเศร้า อยากทำไร่หมุนเวียนแต่ไม่กล้าทำ" นิราพรอธิบาย

ในงานมีการนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายจากคนอยู่กับป่า ซึ่งเน้นแนวทางการปรับกระบวนทัศน์การมองป่าให้มีคน หยุดวิธีคิดแบบเอาหน่วยงานรัฐเป็นศูนย์กลาง สร้างความเป็นเจ้าของร่วม ภาคประชาสังคม ท้องถิ่น ที่คุ้นเคย พื้นที่ป่าที่คุ้นชม เป็นตัวจัดการ ออกแบบการจัดการพื้นที่แบบใหม่ ให้มีสิทธิชุมชนหรือสิทธิธรรมจารีต และไม่ใช้กฎหมายแบบ One Size Fits All แต่ต้องคำนึงถึงความแตกต่างตามพื้นที่


อย่างไรก็ตาม มีความพยายามของภาคประชาสังคมและภาควิชาการ ที่จะใช้ข้อมูลมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา อย่างพชร คำชำนาญ จากมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ได้นำเสนอผลการศึกษาเรื่อง “การศึกษาการระบายและการกักเก็บฝุ่นจากกระบวนการการทำไร่หมุนเวียน” ที่บ้านแม่ส้าน ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง โดยได้ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ความเข้มข้นของ PM2.5 และประเมินศักยภาพในการระบายมลพิษ


จากผลการศึกษาพบว่าใบไม้ในไร่เหล่าสามารถกักเก็บฝุ่นได้ดี และสถานการณ์ในภาคเหนือเรื่องการเผาไม่มีผลกระทบมากอย่างที่เข้าใจกัน โดยพบว่าความเข้มข้นของ PM 2.5 ในพื้นที่ที่ทำไร่หมุนเวียน 7 ปีขึ้นไป มีค่าต่ำกว่าการจะลายในจากการเผาใช้ แม้จะให้ค่าประสิทธิภาพ การกักจับลดลงมา 50% ก็ยังมี ศักยภาพไม การกักจับ สูงกว่ากระจายเศษจากการเผา และข้อมูลจากการตรวจวัด hot spot และรูปแบบ PM 2.5 ในพื้นที่เป็นหลักฐานสนับสนุนว่ามลพิษเกิดจากทั้ง การผลิตสุดเหลือทิ้งจากการเกษตร การคมนาคม อุตสาหกรรม รวมถึงการเผาพื้นที่ป่าด้วย


วสันต์ ปัญญากาศ จากองค์การบริหารส่วนตำบลทาเหนือ/ สภาลมหายใจเชียงใหม่
วสันต์ ปัญญากาศ จากองค์การบริหารส่วนตำบลทาเหนือ/ สภาลมหายใจเชียงใหม่

วสันต์ ปัญญากาศ องค์การบริหารส่วนตำบลทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่กล่าวว่าจากประสบการณ์การบริหารจัดการไฟที่ตำบลทาเหนือมาจากการที่เคยใช้แนวทาง Zero Burning มาก่อนเพื่อป้องกันไฟไม่ให้เข้าพื้นที่ป่าที่กำลังจะฟื้นฟูจากการสัมปทานทำไม้  ซึ่งพบว่าเมื่อไม่มีการกำจัดเชื้อเพลิงเป็นเวลานาน ทำให้ไฟไหม้ลุกลามป่าจำนวนมาก  หลังจากนั้นเราจึงหันมาใช้แนวทางการบริหารจัดการเชื้อเพลิงโดยมีการทำตามหลักวิชาการ  พบว่าได้ผลดี  (อ่าน จุดเปลี่ยนทาเหนือสู่การบริหารจัดการเชื้อเพลิงป้องกันไฟป่า)


ชยา วรรธนะภูติ อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ถอดบทเรียนการบริหารจัดจัดการจุดความร้อนโดยการใช้ application FireD ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งข้อมูลจากภาพนำเสนอแสดงให้เห็นแผนที่การจัดการจุดความร้อนและการติดตามการเผาไหม้ในพื้นที่ต่าง ๆ โดยระบบ FireD เป็นระบบที่จองการเผาหรืออนุญาตให้เผา ซึ่งช่วยให้ตรวจสอบแผนการเผา ควันไม่กระจุกตัว โดยผู้ขออนุญาตเผาจะต้องทำปฏิทินการเผา ทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟลุกลามและดูสภาพอากาศก่อนที่จะทำการเผา แต่ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ในการอนุมัติเผา และบังคับใช้กับชาวบ้านผู้จำเป็นต้องใช้ไฟ แต่ไม่สามารถจัดการกับแหล่งกำเนิดควันที่นอกอาณาเขตจังหวัดเชียงใหม่หรือจากโรงงานอุตสาหกรรมได้ 


อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาระบบ Fire D ก็ยังมีข้อที่ต้องปรับปรุงเช่นเรื่องจุดความร้อนที่คลาดเคลื่อน และแผนทื่ไม่อัพเดทตรงตำแหน่งเขตรอยต่อที่ไม่มีใครรับผิดชอบ การที่ตำแหน่งไฟจริงไม่ตรงกับพิกัดไฟ ทำให้หมู่บ้านจะเกี่ยงกันรับผิดชอบ  นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาเรื่องชาวบ้านถูกแจ้งความเป็นแพะ ในบางพื้นที่ชาวบ้านก็ไม่สามารถเข้าไปทำแนวกันไฟในพื้นที่ป่าสงวนหรือป่าอนุรักษ์ได้


มากกว่านั้นยังพบว่าปัญหาเรื่องฝุ่นควันมันผูกทุกอย่างกับจุดความร้อน แต่จุดความร้อนมีความคลาดเคลื่อน ด้วยดาวเทียมที่แตกต่างกัน มีการแอบเผา และไม่เปิดเผยข้อมูล โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวน รวมถึงการเน้นการรายงานพื้นที่เกิดเหตุ แต่ขาดการอธิบายอย่างละเอียดถึงพฤติกรรมของไฟ 


ชยามีข้อเสนอว่าควรมีการพัฒนาขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ระดับ อบต. ให้มีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือภูมิสารสนเทศ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลจุดความร้อนที่ภาคพื้นดินในเขตชุมชน พื้นที่ป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ รวมถึงควรมีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสทั้งระบบ มากกว่านั้นควรลงทุนกับนักสื่อสาร นักภาษาศาสตร์ และนักนิเทศศาสตร์ในการสื่อสารข้อมูล และที่สำคัญควรสนับสนุนงบประมาณพัฒนาระบบ FireD ให้มีประสิทธิภาพ


ปริศนา พรหมมา จากสภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวถึงการทำงานของสภาฯ ว่า “เราพูดถึงทั้งภาคเมือง ภาคเกษตร และป่าไม้ มีทั้งสิทธิและหน้าที่ แผนและงบประมาณ” สภาลมหายใจเชียงใหม่มีความก้าวหน้าในการกระจายอำนาจให้กับหมู่บ้าน ผ่านแผนและปฏิบัติการเชิงพื้นที่ร่วมกับราชการ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดหลายประการ “พอแผนเกิดขึ้น แต่เมื่อรัฐมนตรีสั่ง แผนจึงนิ่งไปหมด” ปริศนาอธิบาย โดยเฉพาะในกรณีไฟที่เกิดจากพื้นที่เหลื่อมซ้อน ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่าหน่วยงานใดรับผิดชอบ





สภาลมหายใจเชียงใหม่ได้ยกประเด็นสำคัญ 4 เรื่องได้แก่ 1. เรื่องชุดความรู้การบริหารจัดการไฟ และการทบทวนนโยบาย Zero Burning 2. การจัดสรรงบประมาณในการแก้ไขปัญหา อุปกรณ์ในการดับไฟป่า และเงื่อนไขในการใช้งบประมาณที่มีข้อจำกัด 3. การบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ และ 4. การแก้ไขปัญหาระยะยาวผ่านมาตรการที่เป็นรูปธรรม เช่น กรณีข้าวโพดแม่แจ่ม


หลังจากได้มีแบ่งกลุ่มร่วมกันเสนอนโยบายตามประเด็น พร้อมกับกลยุทธ์ ผ่านโจทย์ 3 ข้อเสนอของแต่ละองค์กร อย่างกรณีที่ประชุมได้ร่วมกันเสนอนโยบายเร่งด่วน 3 ด้านหลัก คือ

  1. เร่งรัดกระบวนการออกพ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาด โดยตั้งอยู่บนหลักการสำคัญคือสิทธิประชาชนผู้หายใจ และสิทธิชุมชนในเขตป่า มีกลไกคณะกรรมการอากาศสะอาดที่มีส่วนร่วมของประชาชนและภาคประชาสังคม รวมถึงการจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาดเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหา 


    กลยุทธ์ที่ต้องทำคือ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนให้เข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของอากาศสะอาด เพื่อระดมการสนับสนุนจากภาคประชาชน, ต้องส่งเสริมบทบาทของสภาลมหายใจภาคเหนือและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการเป็นแกนกลางผลักดันร่างกฎหมาย จำเป็นต้องติดตามกระบวนการในรัฐสภาอย่างใกล้ชิด ทั้งการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พร้อมกำหนดไทม์ไลน์ที่ชัดเจนเพื่อให้กระบวนการแล้วเสร็จในปีนี้ และประการ และสุดท้าย ต้องเร่งสรุปและสื่อสารสาระสำคัญของร่างกฎหมายรวมถึงความคืบหน้าในคณะกรรมาธิการให้ประชาชนได้รับทราบ โดยอาจขอความร่วมมือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการอัพเดตข้อมูลเหล่านี้ 


  2. การแก้ไขปัญหาไฟในพื้นที่เกษตรและป่า โดยดำเนินการตามมติครม. ด้วยการจัดการไฟแบบแยกแยะ สร้างระบบการจัดการไฟที่มีประสิทธิภาพ มีการทำแผนและจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม และการพัฒนาระบบ Fire D ให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


    การแก้ไขปัญหาไฟในพื้นที่เกษตรและป่าต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างจริงจัง โดยใช้แนวทางการจัดการไฟแบบแยกแยะ ซึ่งต้องมีการจัดทำแผนที่ชัดเจนและจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ควรมีการรวบรวมข้อมูลและถอดบทเรียนปี 2567 เพื่อนำมาพัฒนาระบบการจัดการไฟที่มีประสิทธิภาพ โดยเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา ทั้งนักวนศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์


    นอกจากนี้ ควรเร่งพัฒนาระบบ FireD ให้เป็นระบบกลางที่มีความครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจัดหางบประมาณสนับสนุนอย่างเพียงพอ พัฒนาบุคลากร และยกระดับให้เป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้เข้าใจและสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ในการบริหารจัดการไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ


  3. เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพประชาชน ขยายความคุ้มครองในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และข้าราชการ ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานและเผชิญกับฝุ่นมาอย่างยาวนาน


    ในการเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพประชาชน ควรมีการขยายความคุ้มครองในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานและเผชิญกับมลพิษทางอากาศมาอย่างยาวนาน การดำเนินการในเรื่องนี้สามารถทำได้ในระดับนโยบายโดยการยื่นข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งสามารถใช้อำนาจบริหารในการสั่งการได้ทันที แม้ว่าจะเคยมีการยื่นข้อเสนอมาแล้วและถูกคัดค้านด้วยเหตุผลด้านงบประมาณ แต่พบว่ากองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีความพร้อมในการสนับสนุนโรงพยาบาลให้นำร่องในโครงการนี้ หากดำเนินการจริงจะเป็นโอกาสในการเก็บข้อมูลพื้นฐาน (Baseline) เกี่ยวกับสภาพปอดของประชาชนในพื้นที่ และควรเชื่อมโยงข้อมูลกับโรคมะเร็งปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจ พร้อมจัดทำรายงานสรุปเป็นประจำทุกปี และกำหนดเกณฑ์ความเสี่ยงอย่างชัดเจน เช่น เจ้าหน้าที่ดับไฟ หรือประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ที่มีคุณภาพอากาศต่ำกว่ามาตรฐานต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี


อีกหนึ่งข้อเสนอสำคัญที่ปรากฏในภาพนำเสนอคือ การพัฒนาขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ระดับ อบต. ให้มีความเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือภูมิสารสนเทศ พร้อมทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลจุดความร้อนที่ภาคพื้นดินในเขตชุมชน พื้นที่ป่าสงวนและป่าอนุรักษ์


ในด้านโครงสร้างทางกฎหมาย มีข้อเสนอให้แก้ไขโครงสร้างต้องกระจายอำนาจ แก้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ผลักดันกฎหมายใหม่ เช่น กฎหมายอากาศสะอาด กฎหมายปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ หรือ PRTR (pollutant Release and Transfer Register)  และรวมพลังขับเคลื่อนจากภาควิชาการและภาคประชาสังคม ด้วยแนวคิดว่า “สิ่งแวดล้อมที่ดี คือสิทธิมนุษยชน”


ส่วนความคืบหน้าเรื่องร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ส.ส.พรรคประชาชน จ.เชียงใหม่ได้กล่าวถึงความคืบหน้าว่ากำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ และคาดว่าจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภาประมาณเดือนกรกฎาคม หรือสิงหาคม หากผ่านก็จะมีการบังคับใช้ในปีหน้า  โดยเนื้อหาสาระหลักที่ประชาชนจะได้รับคือเรื่องสิทธิการเข้าถึงการรักษาโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง หรือคนทำงานที่ต้องเจอฝุ่นพิษ เพิ่มสิทธิในการดำเนินคดีฟ้องร้องของประชาชน และการเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ  นอกจากนี้ในร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดยังเน้นเรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นในเรื่องการจัดการปัญหาฝุ่นควันโดยพรรคประชาชนเสนอให้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นประธานในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันแทนผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งจะต้องมีการต่อสู้ในรัฐสภาวาระ 2 


ภัทรพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า เราไม่ยึดหลัก Zero Burning แต่เรายึดหลักการบริหารจัดการเชื้อเพลิง ส่งเสริมให้ท้องถิ่นทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ประเด็นฝุ่นควันข้ามแดนก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ ส่วนสำคัญของการจัดการปัญหาคือการจัดระบบตรวจสอบย้อนกลับที่โปร่งใส สามารถให้ประชาชนร่วมตรวจสอบข้อมูลได้




โลโก้สภาลมหายใจ2

“เชียงใหม่มีอากาศสะอาดที่ยั่งยืน”

เลขที่ 35 ถ.รัตนโกสินทร์ ต.วัดเกต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50000

(โฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา)  โทร 061 269 5835

  • Facebook
  • Youtube
  • TikTok
  • Instagram
bottom of page