
25 มิถุนายน 2568 สภาลมหายใจเชียงใหม่ ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาเครือข่ายสุขภาพ (Health Net) และสมาคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จัดเวที “ไฟ เห็ด และการมีส่วนร่วมจัดการไฟของชุมชน” ณ โรงแรมฮอลิเดย์ การ์เด้นท์ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความเข้าใจระหว่างชุมชน ภาคประชาสังคม ภาครัฐ และเอกชน ในการบริหารจัดการไฟป่าฝุ่นควันอย่างมีส่วนร่วม โดยมุ่งเน้นการนำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมการเก็บเห็ดถอบ ความสัมพันธ์กับไฟป่า และผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน รวมถึงการถอดบทเรียนเพื่อเตรียมรับมือปัญหาฝุ่นควันในปี พ.ศ. 2569

ลำดวน มหาวัน ผู้จัดการหน่วยจัดการระดับจังหวัด (Node Flagship) สสส. สำนัก 6 จังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าววัตถุประสงค์ของงานคือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ แม่แตง หางดง สันป่าตอง แม่วาง และแม่ริม ครอบคลุม 20 หมู่บ้าน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการไฟป่าฝุ่นควันแบบมีส่วนร่วมที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น นอกจากนี้ เวทีนี้จะเป็นการนำเสนอผลการดำเนินงานจากโครงการจัดการไฟป่าฝุ่นควันและงานวิจัยเกี่ยวกับเห็ดถอบ ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของชุมชนในเขตป่า เพื่อสร้างความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างการเก็บหาของป่า ไฟป่า และปัญหาฝุ่นควัน การดำเนินงานครอบคลุมพื้นที่ป่าผลัดใบในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีพื้นที่ป่าทั้งหมด 9,627,355.98 ไร่ คิดเป็น 68.57% ของพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะป่าเต็งรังที่มีมากถึง 1.4 ล้านไร่ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะในอำเภออมก๋อย ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงของเห็ดถอบ”
ผลการดำเนินงานและความสำเร็จในปี 2568

ปริศนา พรหมมา จากสภาลมหายใจเชียงใหม่ รายงานผลการจัดการไฟป่าฝุ่นควันใน 20 หมู่บ้าน 5 ตำบล (บ้านปง น้ำบ่อหลวง ดอนเปา สะลวง และแม่หอพระ) ซึ่งพบว่าในปี พ.ศ. 2568 จุดความร้อนลดลง 60% จาก 13,000 จุดในปีก่อน เหลือ 4,709 จุด และพื้นที่เผาไหม้ลดลงจาก 1.1 ล้านไร่เหลือ 750,000 ไร่ ความสำเร็จนี้เกิดจากการมีส่วนร่วมของชุมชนในการลาดตระเวน ทำแนวกันไฟ และบริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างควบคุม รวมถึงกา รใช้กล้องวงจรปิดและการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานป่าไม้
ตัวอย่างความสำเร็จ อย่างการบริหารจัดการเชื้อเพลิง ชุมชนในพื้นที่ เช่น บ้านห้วยส้มสุกและบ้านกาดฮาว ได้จัดตั้งกองทุนบำรุงป่าและใช้รายได้จากการเก็บหาของป่าสนับสนุนการจัดการไฟ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ชุดจิตอาสา ชรบ.หมู่บ้าน และหน่วยงานป่าไม้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากจังหวัดและภาคเอกชน เช่น โครงการคาร์บอนเครดิตที่บ้านจอมแจ้ง และการควบคุมไฟขนาดเล็ก ในปี 2568 พื้นที่ที่ชุมชนจัดการมีไฟลักลอบจุดไม่เกิน 15% และสามารถควบคุมไฟได้อย่างรวดเร็ว ลดความรุนแรงของไฟป่าได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตัวแทนจากหมู่บ้านในพื้นที่ต่าง ๆ ได้สะท้อนมุมมองและปัญหาที่พบในการจัดการไฟป่าฝุ่นควัน โดยปฐมพงษ์ เจริญมูล ผู้ใหญ่บ้านแม่นาป้าก ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง ระบุว่า นโยบายห้ามเผาทำให้ชาวบ้านต้องเผาในพื้นที่อื่นเพื่อให้ไฟลุกลามมาถึงพื้นที่ที่ต้องการ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ชุมชนต้องการงบประมาณ อุปกรณ์ เช่น เครื่องเป่าลม และค่าตอบแทนสำหรับจิตอาสา รวมถึงการจัดทำแผนจากล่างขึ้นบนที่สะท้อนความต้องการของชุมชน
ด้านประพันธ์ วิชัยคำ ผู้ใหญ่บ้านปง อ.หางดง เผยว่า การชิงเผาในพื้นที่ช่วยลดเชื้อเพลิงและป้องกันไฟรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นหน้าผาและเข้าถึงยาก นอกจากนี้ ยังมีการทดลองเพาะเห็ดตับเต่าในสวนลำไย ซึ่งเป็นทางเลือกที่ไม่ต้องใช้ไฟและมีตลาดรองรับ

ด้านสุริยา ตั้งตัว ผู้ใหญ่บ้านป่าไม้ ต.แม่หอพระ อ.แม่แตง เน้นย้ำว่า ไฟป่าเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การล่าสัตว์ การทิ้งก้นบุหรี่ และถนนที่เป็นทางผ่าน ไม่ใช่แค่การหาเห็ด การบริหารจัดการเชื้อเพลิงและการขออนุญาตเผาอย่างควบคุมจะช่วยลดปัญหาได้ และสาวิตรี พื้นที่แม่แจ่ม ชี้ว่า การเหมารวมว่าไฟป่าเกิดจากชาวบ้านที่เผาป่าหาเห็ดเป็นความเข้าใจผิด หน่วยงานป่าไม้ใช้ไฟมากกว่าชาวบ้าน แต่กลับไม่ถูกพูดถึง

ต่อมาเป็นช่วงเสวนาในหัวข้อ “ข้อท้าทายการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการไฟป่าฝุ่นควันโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” โดย ปิยพงษ์ ประพันธ์วัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ และ เดโช ไชยทัพ นายกสมาคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ดำเนินรายการโดย สุรีรัตน์ ตรีมรรคา มีประเด็นสำคัญและข้อเสนอแนะดังนี้
จุดยืนสำคัญ “คนอยู่ร่วมกับป่า” สุรีรัตน์ ตรีมรรคา ได้กล่าวถึงจุดยืนสำคัญว่าคนในภาคเหนือส่วนใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่ป่าผลัดใบนั้น มีวิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกับป่า และการใช้ไฟเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่ร่วมกัน ซึ่งมีการบริหารจัดการและดูแลไฟร่วมกัน
ข้อจำกัดจากนโยบายส่วนกลาง การห้ามบริหารจัดการเชื้อเพลิงตามนโยบายส่วนกลาง ได้สร้างข้อจำกัดในการทำงานในเชียงใหม่ แม้จะมีการวางแผนไว้แล้ว ทำให้เกิดความกังวลในระดับจังหวัด อย่างไรก็ ดี ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ในปีที่ผ่านมา (2567-2568) ฝุ่นมีส่วนช่วยลดไฟป่าฝุ่นควัน และการมีส่วนร่วมของชุมชนและหมู่บ้านในการดูแลลาดตระเวนป้องกันไฟก็ช่วยได้มาก แม้จะมีการวางแผนร่วมกันระหว่างหน่วยงานในเชียงใหม่ 7 กลุ่มป่าสำคัญ แต่เนื่องจากนโยบายจากส่วนกลางทำให้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 จำนวนจุดความร้อนลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือ 4,709 จุด ซึ่งลดลง 60% จากกว่า 13,000 จุด และพื้นที่เผาไหม้ลดลงประมาณ 300,000 ไร่ จาก 1,100,000 ไร่ เหลือ 750,000 ไร่


บทเรียนและข้อเสนอเพื่อการจัดการไฟป่าฝุ่นควัน
การยืนยันเจตนารมณ์ คือต้องยืนยันเจตนารมณ์การทำงานที่ชัดเจน และมีการถอดบทเรียน หารือร่วมกันในระดับตำบลและอำเภอ เพื่อนำบทเรียนมาวางแผนวิเคราะห์ร่วมกัน
ป่าชุมชนเป็นฐานสำคัญ ชุมชนและทรัพยากรธรรมชาติควรอยู่ร่วมกันและพัฒนาไปด้วยกัน โดยป่าชุมชนเป็นฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจชุมชน ความมั่นคงทางอา หาร และระบบนิเวศ
ปัญหาเชิงโครงสร้างและการกระจายอำนาจ ปัญหาไฟป่าฝุ่นควันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องมีแผนระยะสั้น-กลาง-ยาว และทำงานตลอดทั้งปี ไม่ใช่แค่เผชิญเหตุเฉพาะช่วงเกิดไฟเท่านั้น ควรมีการกระจายอำนาจจากการบริหารของรัฐที่รวมศูนย์
เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ควรเพิ่มความรู้ ประสิทธิภาพ และขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่น ให้มีสิทธิและอำนาจในการบริหารจัดการ
ยุทธศาสตร์ 5 ปีของจังหวัดเชียงใหม่ ควรให้ยุทธศาสตร์นี้มาจากความเห็นของประชาชน ท้องถิ่น และหน่วยงาน ผ่านประชาคมร่วมกัน เพื่อให้เป็นแผนของจังหวัดที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ทำให้การทำงานดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องแม้ผู้บริหารจะเปลี่ยนแปลง
แก้ปัญหาที่ดินในเขตป่า ควรมีการรับรองสิทธิในที่ดินทำกินตามกฎหมาย เพื่อให้การทำเกษตรก้าวหน้าและเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานได้ รวมถึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตเชื่อมโยงกับภาคเอกชนเพื่อให้มีตลาดรองรับสินค้าที่ชัดเจน
ผลักดัน พ.ร.บ. อากาศสะอาด กฎหมายป้องกันบรรเทาสาธารณภัยปัจจุบันแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ควรผลักดันให้เกิด พ.ร.บ. อากาศสะอาด เพื่อแก้ปัญหาแหล่งกำเนิดฝุ่นควันทุกส่วนและจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด
ยกระดับความรู้และแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม คือควรยกระดับความรู้ ข้อมูลวิชาการที่รอบด้าน และแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมที่ชาวบ้านได้รับโทษ แต่นายทุนไม่ได้รับ
ช่องว่างความรู้และทัศนคติ มีช่องว่างระหว่างความรู้ของรัฐและชาวบ้านเกี่ยวกับการห้ามเผากับการบริหารจัดการไฟ ซึ่งทัศนคติเชิงลบต่อ "คนอยู่กับป่า" ควรได้รับการเป ลี่ยนแปลง
กระจายอำนาจและงบประมาณ ควรมีการถ่ายโอนภารกิจ อำนาจ และงบประมาณให้จังหวัดสามารถจัดการตนเองได้จริง เพราะบริบทแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน
เร่งรัดสิทธิการจัดการป่า-ไฟป่า ควรเร่งรัดการเข้าถึงสิทธิการจัดการป่า-ไฟป่า ตามเงื่อนไข พ.ร.บ. ป่าชุมชน และควรมีระบบงบประมาณสนับสนุนอย่างแท้จริง
ปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ควรปรับแก้กฎหมายป่าชุมชนให้ก้าวหน้า ส่งเสริมมากกว่าบัง คับควบคุม และปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. อุทยานฯ/เขตรักษาพันธุ์ฯ เพื่อรับรองสิทธิที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของชุมชนในป่า โดยตั้งเป้าเสนอแก้กฎหมาย 1 แสนรายชื่อ
งบประมาณและการสนับสนุน งบประมาณจัดการควรสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นและหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบหลัก เพราะชาวบ้านได้รับงบประมาณน้อยที่สุดและขั้นตอนยุ่งยาก
ทบทวนมาตรการรัฐ มาตรการภาครัฐที่เข้มงวดเกินไป เช่น การจับ ปรับ อาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวและไฟไร้การควบคุมมากขึ้น ควรทบทวนมาตรการจากส่วนกลาง

ด้านผอ.ปิยพงษ์ ประพันธ์วัฒนะ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการ “จัดทำแผนร่วมกัน” โดยทำงานร่วมกับอำเภอ เพื่อเสนอแผนจากพื้นที่ไปยังระดับผู้นำนโยบาย โดยให้ความสำคัญกับอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งงบประมาณให้กับพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันยังไม่เป็นไปตามแผนที่ชุมชนจัดทำ จะมีการเสนอแผนต่อผู้กำหนดนโยบาย โดยแต่ละหน่วยงานจะช่วยกันสนับสนุน รับฟังปัญหาและอุปสรรค และแก้ไขร่วมกัน อีกทั้งยังเสนอให้เชียงใหม่นำร่อง พ.ร.บ. อากาศสะอาด เพราะอากาศสะอาดเป็นสิทธิของประชาชน ซึ่งต้องมีทุกฝ่ายมีส่วนร่วม มีคณะกรรมการระดับชาติ มีกระบวนการทางเศรษฐศาสตร์ เช่น การเปลี่ยนพืชเชิงเดี่ยวเป็นพืชยั่งยืน และมีกองทุนการบริหารจัดการอากาศสะอาด
สรุปโดยรวมคือ ปัญหาไฟป่าฝุ่นควันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง นโยบายที่ไม่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ การขาดการกระจายอำนาจและงบประมาณ รวมถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชุมชนกับป่า การแก้ไขปัญหาต้องอาศัยการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน การปรับเปลี่ยนทัศนคติ และการผลักดันนโยบายที่เข้าใจบริบทของพื้นที่และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง
ข้อค้นพบจากงานวิจัย “เห็ดป่า ณ ชายขอบแห่งเมือง”

ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำเสนองานวิจัย “เห็ดป่า ณ ชายขอบแห่งเมือง: การพัวพันของวัฒนธรรมการเก็บหาของป่ากับการเมืองหมอกควันในยุคแห่งทุนนิยมสมัย” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ โดยมีทีมวิจัยประกอบด้วย อาจารย์ณีรนุช แมลงภู่ ลลิตา ดังสท้าน วรรรวิสา เกียรตินอก และสถาพร จันทร์เทศ งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาใน 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ บ้านปง (อ.หางดง) บ้านป่าไม้และบ้านนาป้าก (อ.แม่แตง) และบ้านยางเปียง (อ.อมก๋อย) รวมถึงสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้เก็บเห็ด พ่อค้าแม่ค้า ร้านอาหารพื้นเมือง หัวหน้าอุทยาน และผู้บริหารจังหวัดเช ียงใหม่
ข้อค้นพบสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
การเปลี่ยนผ่านจากยังชีพสู่เชิงพาณิชย์ วัฒนธรรมการเก็บเห็ดถอบเปลี่ยนจากเพื่อการยังชีพสู่การค้าเชิงพาณิชย์ อันเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง 2 ประการ ได้แก่
ความล้มเหลวของภาคเกษตรกรรม: ชาวบ้านในเขตป่าเผชิญกับความไม่มั่นคงของภาคเกษตร เนื่องจากราคาพืชผลไม่แน่นอนและที่ดินทำกินลดลง ทำให้การเก็บหาของป่ากลายเป็นแหล่งรายได้หลัก
การปฏิวัติโครงสร้างพื้นฐาน: การพัฒนาด้านคมนาคมและเทคโนโลยีดิจิทัลเชื่อมโยงป่ากับเมือง เช่น การเกิดเพจออนไลน์ที่ขายเห็ดถอบนับร้อยเพจ และการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเชียงใหม่ที่ผลักดันให้เห็ดถอบกลายเป็นอัตลักษณ์อาหารพื้นเมือง
ทรัพยากรที่ไม่ถูกผูกขาด เห็ดถอบเป็นทรัพยากรที่มีลักษณะกรรมสิทธิ์ส่วนรวม ใครก็สามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีการผูกขาดจากนายทุนหรือพ่อค้าคนกลาง ราคาและคุณภาพถูกกำหนดโดยชุมชนท้องถิ่น ทำให้ผู้เก็บเห็ดมีอำนาจต่อรองในตลาด การเก็บเห็ดถอบไม่เพียงสร้างรายได้เฉลี่ย 10,000-50,000 บาทต่อครัวเรือนในช่วงฤดูกาล แต่ยังช่วยพยุงเศรษฐกิจชุมชนในเขตป่าที่เผชิญความล้มเหลวของภาคเกษตร
แยกแยะการใช้ไฟและการเผาป่า งานวิจัยชี้ว่า การใช้ไฟในป่าเต็งรังเพื่อลดเชื้อเพลิงและควบคุมไฟแตกต่างจากการเผาป่าที่ไร้การควบคุม ซึ่งมักเกิดจากความขัดแย้งหรือเจตนากลั่นแกล้ง การเหมารวมว่าชาวบ้านเผาป่าหาเห็ดเป็นการตีตราที่ไม่ถูกต้อง โดยหน่วยงานป่าไม้เองก็ใช้ไฟในปริมาณมากในการจัดการป่าเต็งรัง เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและป้องกันไฟรุนแรง ตัวอย่างเช่น อดีตคณบดีคณะวนศาสตร์ระบุว่า หากไม่มีการเผาในป่าเต็งรังเป็นเวลา 20 ปี ป่าเต็งรังจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นป่าดิบแล้ง ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ
ปัญหาเชิงโครงสร้างและการรวมศูนย์อำนาจ การแก้ปัญหาไฟป่าฝุ่นควันยังติดอยู่ในวังวนจากการรวมศูนย์อำนาจและนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น เช่น นโยบายห้ามเผาทั้งหมด (Zero Burning) ซึ่งขัดแย้งกับความจำเป็นของป่าเต็งรังที่ต้องใช้ไฟเพื่อรักษาระบบนิเวศ การขาดการกระจายอำนาจและงบประมาณสู่ท้องถิ่นทำให้การบริหารจัดการไฟป่าฝุ่นควันขาดประสิทธิภาพ
การเก็บเห็ดเป็นทั้งรายได้ อำนาจ ความรื่นรมย์

ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เน้นย้ำว่า การเก็บเห็ดถอบไม่เพียงเป็นแหล่งรายได้ แต่ยังเป็นกิจกรรมที่มอบความรื่นรมย์และอิสรภาพให้แก่ชุมชนในเขตป่า ชาวบ้านเปรียบการเก็บเห็ดเหมือนการ “เที่ยวป่า” ที่ได้พบปะเพื่อนฝูงและหลีกหนีจากระบบทุนนิยมที่กดทับ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัยและแรงงานข้ามชาติที่ไม่สามารถเข้าถึงงานประจำได้ การรักษากรรมสิทธิ์ส่วนรวมของทรัพยากรป่าและการไม่ถูกผูกขาดโดยพ่อค้าคนกลางช่วยให้ชุมชนมีอำนาจในการกำหนดราคาและคุณภาพสินค้า ซึ่งเป็นการพยุงเศรษฐกิจท้องถิ่นในยุคที่ภาคเกษตรล้มเหลว
เห็ดถอบเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกิน “ป่องปี๋ป่องเดือน” ซึ่งเป็นประเพณีการบริโภคอาหารเพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น ในช่วงสงกรานต์ การพัฒนาด้านคมนาคมและเทคโนโลยีทำให้เห็ดถอบเข้าถ ึงผู้บริโภคในเมืองได้ง่ายขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์และร้านอาหารพื้นเมืองในเชียงใหม่ ราคาเห็ดถอบพุ่งสูงจากกิโลกรัมละไม่กี่สิบบาทเป็นหลักร้อย โดยเห็ดเกรดสูงมักเก็บไว้บริโภคในชุมชน เกรดกลางส่งร้านอาหาร และเกรดต่ำแปรรูปเป็นอาหารกระป๋องส่งออกต่างประเทศ สะท้อนถึงห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่ยังคงถูกควบคุมโดยชุมชนท้องถิ่น.
สามารถรับชมวิดีโอถ่ายทอดสดย้อนหลังได้ที่ https://youtu.be/8HoQ-tO2EJ4?si=Hvd5yAAlXdSBSE6l
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการนำเสนอได้ที่ https://shorturl.asia/V5L3b